ทีมที่ตกรอบ
8 ทีมสุดท้าย บอลโลก 2018
ประเทศรัสเซีย
ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยหลังจากการแข่งขันฟุตบอลโลก
2018 ประเทศรัสเซียในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ที่สร้างความปรากฎการณ์ครั้งสำคัญให้กับวงการลูกหนังระดับโลก
โดยมีทีมเต็งที่คาดว่าได้แชมป์พลาดท่าตกรอบในรอบนี้ คือ
ทีมชาติอุรุกวัย หลังจากที่พ่ายให้กับทีมชาติฝรั่งเศส
2-0 เป็นผลทำให้ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปอย่างน่าเสียดาย
แม้ว่าความมั่นใจและความแข็งแกร่งของทีมที่หลายฝ่ายต่างมองถึงโอกาสที่จะก้าวผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้
แต่แล้วฝันทุกอย่างดับลงเมื่อพ่ายให้กับทีมชาติฝรั่งเศส
ถึงแม้ว่าทีมชาติอุรุกวัยจะมี จะมีซัวเรซ
ที่เป็นแกนหลักของทีมที่เป็นความหวังในการผ่านเข้ารอบ ด้วยความสามารถเป็นที่ยอมรับของแฟนบอลแม้ว่าอยู่จะล่วงเลยมาถึง
31 ปี แต่ความโหดถือว่ายังเฉียบคมอยู่มาก
แต่เมื่อต้องแบกความหวังไว้เพียงคนเดียวโดยขาดแต่ในนัดนี้เขาได้ขาด เอดินสัน
คาวานี่ ที่เป็นคู่หูทำให้เกมบุกลดความน่าเกรงขามลงอย่างมาก
เพราะนัดที่ชนะโปรตุเกส คาวานี่ เป็นผู้สร้างชัยชนะคนเดียประตู
ในนัดนี้ทำให้อุรุกวัยขาดในเรื่องเกมบุกและการครองบอลทำให้ตกเป็นรองทัพตราไก่อย่างมาก
ทีมชาติบราซิล
ที่แพ้ให้กับทีมม้ามืดอย่างเบลเยี่ยม 2-1
เป็นอีกหนึ่งทีมชาติที่สร้างความช็อกให้กับแฟนบอลทั่วโลก
แม้ว่าในเกมจะมีสถิติการครองบอลที่มากกว่าแต่ไม่สามารถฉวยโอกาสทำประตูได้ แม้ว่าในทีมจะมีเนย์มาร์ที่เป็นดาวยิงตัวหลักของทีมแต่ไม่สามารถช่วยพาให้ถึงฝั่งได้
รวมถึงการครองบอลที่เหนือกว่าเบลเยี่ยมแต่จบสกอร์ขึ้นนำไม่ได้
และทีมเวิร์คของบราซิลที่ไม่เต็มร้อยเหมือนเล่นไม่เข้าขากันที่เล่นติด ๆ ขัด ๆ เป็นส่วนใหญ่
ในเกมรุกของแซมบ้าไม่สามารถกดดันแนวรับของเบลเยี่ยมได้เลย เป็นผลทำให้เกมรุกยากจะเจาะเข้าไปทำประตูได้
ซึ่งต่างจากเบลเยี่ยมที่ส่งต่อลูกกันอย่างลื่นไหล นอกจากนี้ผู้จัดการทีมติเต้ที่ยังคงยึดมั่นในการวางแผนแบบเดิม
ๆ และเลือกเชื่อมั่นใน กาเบรียล เฆซุส , เปาลินโญ
มากเกินไปทั้งที่ฟอร์มการเล่นที่ผ่านมาไม่ดีเท่าที่ควร
อีกทั้งการทำการบ้านของเขาไม่พร้อมและอ่านเกมคู่ต่อสู้ไม่ขาด เพราะนักเบลเยี่ยมสามารถเล่นทดแทนได้ทุกคนจึงขาดการประกบตัวทำให้เกิดช่องว่างในการทำประตู
และที่สำคัญอีกปัจจัยที่แซมบ้าตกรอบคือนักเตะตัวหลักอย่าง ดานิโล มีอาการบาดเจ็บทำให้ตัวสำรองลงมาเล่นแทนทำหน้าที่ไม่ดีเท่าที่ควร
รวมถึงการเล่นของเนย์มาร์ที่พลาดและไม่เฉียบคมเหมือนเช่นทุกครั้ง
ทำให้ทีมวินัยการเล่นจึงด้อยกว่าเบลเยี่ยมอย่างมาก
ทีมชาติสวีเดน แม้ว่าที่ผ่านเข้ารอบมาได้จากการเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์
1-0 ทำให้งานนี้ต้องมาเจอกับงานหนักอย่างทีมชาติอังกฤษ
ซึ่งเป็นทีมมีนักเตะดาวดังจากลีกระดับสูงจำนวนมาก ทำให้โอกาสชนะและได้เปรียบมากกว่า
ในการเริ่มต้นเล่นเกมจะเห็นได้ว่าการครองบอลของสิงโตคำรามที่มีมากกว่า
แม้ว่าสวีเดนจะมีโอกาสบุกสวนกลับไปบ้างแต่ดูเหมือนยังไม่เต็มที่เพราะถูกตัดลูกทุกครั้งทำให้เกมบุกของสวีเดนไม่ดุดันเหมือนในรอบที่ผ่านมา
อีกทั้งการออกสตาร์ไม่ดีการเติมเกมรุกจึงขาด ๆ หาย ๆ
และความหนึบของผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษเหนียวมากกว่าและโชว์เทพในการเซฟลูกยาก ๆ
ได้ดีมากกว่า ในแนวรับของสวีเดนไม่สามารถต้านการบุกของสิงโตรามได้เท่าไหร่ แม้ว่าในรอบการแข่งขันที่ผ่านมาพวกเขาต้องเจอกับทีมใหญ่
ๆ อย่าง เยอรมนี , สวิตเซอร์แลนด์ แต่ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศได้
จึงเป็นงานยากที่จะแก้เกมเฉพาะหน้าของทีมชาติสวีเดนจากการบุกของอังกฤษที่ร้อนแรงมากกว่า
จึงทำให้พลาดเสียถึง 2 ประตู
ทีมชาติรัสเซีย
ซึ่งเป็นทีมเจ้าภาพในการแข่งขันครั้งนี้
ที่สร้างผลงานได้อย่างเหนือชั้นสามารถผ่านเข้ามาสู่รอบ 8
ทีมสุดท้ายถือว่าเป็นอีกหนึ่งทีมชาติที่มาไกลกว่าที่คิด
และการพบกับทีมชาติโครเอเชียที่ต้องใช้เวลาในการแข่งขันนานกว่าปกติ จาก 90 นาที
และเพิ่มต่อเวลาพิเศษรวมถึงการดวลลูกจุดโทษเพื่อตัดสินใครชนะ
ซึ่งทำให้รัสเซียต้องพ่ายไปอย่างน่าเสียดาย 3-4
ถือว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญให้กับวงการลูกหนังของหมีขาว ทีมเจ้าภาพเป็นทีมที่หักปากกาเซียนอย่างมากขจากการบุกผ่านมาถึงรอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ
และสร้างผลงานจากการเขี่ยสเปนให้ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
จึงทำให้ทีมมีความมั่นใจอย่างมาก
แต่เมื่อต้องมาเจอกับทีมโครเอเชียถือว่าฟอร์มการเล่นสูสี
อีกทั้งมีความได้เปรียบจากเสียงเชียร์ของแฟนบอล ซึ่งทำให้มีแรงฮึดในการต่อสู้และใช้เวลานานกว่าทุกครั้ง
แม้ว่าจะพ่ายไปในลูกการดวลจุดโทษถึงอย่างไรก็ชนะใจแฟนบอลชาวรัสเซียและคนจากทั่วโลก
ซึ่งเป็นทีมทีมที่ไม่มีนักเตะดาวดังประดับทีมเหมือนคู่แข่งชาติอื่น
ซึ่งเป็นการสื่อให้เห็นมาแล้วถึงความสามัคคีและวินัยในการเล่น
ถือว่าสมศักดิ์ศรีในการเป็นเจ้าภาพที่อยู่นอกสายตาของใครหลายคน